ย้อนรอยระบบ Windows ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
Posted by: bankofshadow
Posted on: 14/05/2025
View: 1,651

ระบบปฏิบัติการ Windows หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการเทคโนโลยี จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงส่วนเสริมของ MS-DOS มาสู่การเป็นระบบปฏิบัติการหลักของคอมพิวเตอร์ทั่วโลก Windows ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้งานคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทั้งในแง่ของนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ด้วยความสะดวกสบาย และการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ เรามาย้อนรอยประวัติของระบบปฏิบัติการ Windows ของ Microsoft เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและองค์กรในปัจจุบัน


ประวัติความเป็นมาของ Windows

Windows เริ่มต้นขึ้นในปี 1985 จากความตั้งใจของ Microsoft ที่อยากให้คนทั่วไปใช้คอมพิวเตอร์ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพิมพ์คำสั่งยากๆ แบบใน MS-DOS อีกต่อไป แม้เวอร์ชันแรกจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกคอมพิวเตอร์ จนมาถึง Windows 95 ที่มาพร้อมหน้าตาใหม่ ใช้งานง่าย มีปุ่ม Start และระบบที่ลื่นไหล ทำให้คนทั่วโลกเริ่มใช้งานกันอย่างแพร่หลาย หลังจากนั้น Microsoft ก็พัฒนาเวอร์ชันใหม่ๆ มาเรื่อยๆ อย่าง Windows XP ที่ทั้งเสถียรและใช้งานง่าย หรือ Windows 10 ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์ได้อย่างลงตัว และในปัจจุบัน Windows 11 ก็ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้มากที่สุด


MS-DOS คืออะไร

MS-DOS หรือชื่อเต็มว่า Microsoft Disk Operating System คือระบบปฏิบัติการแบบพิมพ์คำสั่งที่ Microsoft พัฒนาขึ้น ใช้งานกันอย่างแพร่หลายในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลช่วงยุค 1980 จนถึงต้นยุค 1990 ก่อนที่ Windows จะเข้ามาแทนที่ ด้วยหน้าจอที่ต้องพิมพ์คำสั่งเองทั้งหมด ไม่มีเมาส์หรือภาพกราฟิก ทำให้การใช้งานค่อนข้างยากสำหรับคนทั่วไป แต่ก็ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบปฏิบัติการยุคใหม่ในเวลาต่อมา


สรุปง่ายๆ MS-DOS คือระบบที่ต้อง "พิมพ์ทุกอย่าง" เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ ก่อนที่ Microsoft จะเปลี่ยนมาใช้การ "คลิกเมาส์" กับ Windows นั่นเอง

ยุคเริ่มต้น Windows 1.0 – 3.x (1985–1994)



Windows 1.0 (1985)

“จุดเริ่มต้น”

เวอร์ชันแรกที่เริ่มการทำงานแบบหน้าต่าง เกิดมาเพื่อสู้กับ Macintosh ของแอปเปิ้ล แต่ยังสู้ไม่ได้


Windows 2.0 (1987)

รองรับโปรแกรมหลายหน้าต่าง ซ้อนกันได้ และเพิ่มการใช้งานเมาส์


Windows 3.0 (1990)

“เริ่มสู้ Macintosh ได้”

ปรับปรุงรูปแบบการทำงานและหน้าตาจนถือว่าเป็นวินโดวส์ตัวแรกที่ประสบความสำเร็จทั้งเสียงวิจารณ์และยอดขาย เริ่มทำให้ PC แข่งขันกับ Macintosh ได้


เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ Windows 95 – Me (1995–2000)



Windows 95 (1995)

“จุดเริ่มต้นของปุ่ม Start”

วินโดวส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ถือเป็นจุดเปลี่ยนของ PC ที่เปิดเครื่องมาแล้วพร้อมใช้งานแบบกราฟิกโดยไม่ต้องผ่านหน้าป้อนคำสั่งของ DOS ก่อน ซึ่งหน้าตาเอกลักษณ์ของวินโดวส์อย่างทุกวันนี้คือปุ่ม Start และ Taskbar สำหรับเลือกโปรแกรมที่ทำงานก็เริ่มต้นจาก Windows 95


Windows 98 (1998)

“เข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต”

วินโดวส์ที่เป็นเหมือน Windows 95 ที่ทำเสร็จแล้ว โดยโครงสร้างพื้นฐานนั้นเหมือนกัน แต่เติมความสามารถในการท่องอินเทอร์เน็ตเข้าไป โดยมาพร้อมกับ Internet Explorer 4 มาในตัว ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามเบราว์เซอร์ครั้งแรก


Windows Me (2000)

“ความทรงจำที่อยากลืม”

Windows Me ทำหน้าที่เฉลิมฉลองการขึ้นสหัสวรรษใหม่ และก็เหมือนจะมีหน้าที่อยู่แค่นั้น เพราะพัฒนาขึ้นมาอย่างเร่งรีบให้ออกทันปี 2000 ทำให้เป็นระบบปฏิบัติการที่ไม่เสถียร พาเครื่องแฮงง่ายสุด ๆ จนความทรงจำที่มีกับ Me คือการรีเซตเครื่อง


ยุคระบบปฏิบัติการสำหรับองค์กร Windows NT – XP (1993–2008)



Windows NT (1993)

”สำหรับองค์กร มั่นคงและปลอดภัยมากขึ้น”

จุดเปลี่ยนสำคัญของ Microsoft ที่ก้าวสู่การสร้างระบบปฏิบัติการระดับองค์กรอย่างแท้จริง โดยคำว่า “NT” ย่อมาจาก New Technology ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดใหม่ที่ต่างจาก Windows รุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน จุดเด่นของ Windows NT คือ ความเสถียรและปลอดภัยขึ้นกว่าเดิม ออกแบบมาให้รองรับงานในระดับองค์กร เซิร์ฟเวอร์ และระบบเครือข่าย ไม่พึ่งพา MS-DOS เป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิตเต็มรูปแบบ ไม่ต้องใช้ MS-DOS เป็นฐานอีกต่อไป รองรับผู้ใช้หลายคนและหลายงานพร้อมกัน (Multitasking / Multi-user)


Windows 2000

“รวมความเสถียรจาก NT เข้ากับความใช้ง่ายของ 98”

ระบบปฏิบัติการที่เปิดตัวโดย Microsoft ในปี 2000 ซึ่งต่อยอดมาจากเทคโนโลยีของ Windows NT โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานใน สภาพแวดล้อมขององค์กร ทั้งในส่วนของผู้ใช้ทั่วไป (client) และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Windows 2000 ถือเป็นรากฐานของ Windows XP ที่ตามมาในอีกหนึ่งปีให้หลัง และเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมสายผลิตภัณฑ์ “Windows สำหรับบ้าน” กับ “Windows สำหรับองค์กร” เข้าด้วยกันในระบบเดียวที่เสถียรและทรงพลังมากขึ้น


Windows XP (2001)

“วินโดวส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”

Windows XP เป็นการพลิกโฉมครั้งสำคัญ และเป็นรากฐานของวินโดวส์มาถึงปัจจุบัน เมื่อไมโครซอฟท์รื้อแกนกลางของระบบจากเดิมที่ Windows 9x ต้องทำงานผ่าน DOS แบบ 16-bit กลายเป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32-bit ที่นำแกนจาก Windows NT ระบบปฏิบัติการสำหรับเซิร์ฟเวอร์มาใช้ ทำให้ XP มีความเสถียรกว่าวินโดวส์รุ่นเดิมๆ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปมาก ผู้ใช้แทบลืมไปเลยว่าเครื่องเคยแฮง ทำให้เป็นวินโดวส์ที่มีอายุการใช้งานนานที่สุดกว่า 13 ปี


ยุคการเปลี่ยนผ่าน ล้มลุกคลุกคลาน Vista – 8.1 (2007–2014)



Windows Vista (2007)

“คอมพิวเตอร์คุณรัน Vista ไหวไหม”

Vista ถือเป็น Windows ที่พัฒนานานที่สุดรุ่นหนึ่ง เปิดตัวห่างจาก XP เกือบ 6 ปี เพราะมีการวางรากฐานของระบบเพิ่มเติมให้เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะเรื่องกราฟิก เสียง และระบบไดร์เวอร์ที่ยังใช้มาถึงปัจจุบัน แถมรองรับ 64-bit มาตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อแก้ไขปัญหา XP โดนมัลแวร์เจาะจนพรุน และที่เด่นที่สุดคือ Windows Aero หน้าตาของระบบแบบใหม่ที่ขอบหน้าต่างโปร่งแสงแปลกตา น่าประทับใจ


แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้ Vista ต้องการสเปกคอมพิวเตอร์สูงขึ้นมาก จนทำให้คอมพิวเตอร์เก่าหลายเครื่องทำงานช้า และทำให้เกมเมอร์หงุดหงิดเพราะหลายเกมมีประสิทธิภาพลดลงด้วย แถมยังระบบ UAC หรือการเด้งหน้าต่างขอความยินยอมจากผู้ใช้ยังน่ารำคาญ ระบบการขายก็งงงวยด้วยการแบ่ง Vista ออกเป็น 6 เวอร์ชัน ตั้งแต่ Starter ถึง Ultimate ที่ซอยถี่ไปจนไม่น่าซื้อมาใช้งาน


Windows 7 (2009)

“Vista ที่ทำเสร็จแล้ว”

Windows 7 ไม่ได้ปรับปรุงอะไรไปเยอะเมื่อเทียบกับตอนที่ Vista ปรับปรุงจาก XP แต่ก็เป็นการจูนระบบปฏิบัติการทั้งหมดให้เข้าที่ มีประสิทธิภาพดีขึ้น น่ารำคาญน้อยลง จนถึงทุกวันนี้ คอมพิวเตอร์บางเครื่องก็ยังใช้งาน Windows 7 อยู่


Windows 8 (2012)

“สู่ความเวิ้งว้างของ Metro”

วินโดวส์รุ่นนี้เปลี่ยนแปลงหน้าตาครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยยกเลิกหน้าตาแบบ Aero ที่ใช้มาตั้งแต่ Vista มาใช้หน้าตาแบบ Metro ที่เน้นสีเรียบ ๆ ไม่มีการไล่สี และใช้กราฟิกไอคอนใหญ่ๆ ตัดกับสีแทน ซึ่งสอดคล้องกับดีไซน์ของ Windows Phone และทำให้เป็นวินโดวส์ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในระบบสัมผัสมากขึ้น ในยุคที่ iPad จากแอปเปิ้ลกำลังเป็นคู่แข่งสำคัญของคอมพิวเตอร์


แต่ความครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของ Metro ที่คิดมาไม่จบ ทั้งหน้า Start Menu ที่ไม่เหมาะกับเมาส์ หรือหน้าของระบบจำนวนมากที่ก็ไม่ได้ปรับให้เป็นดีไซน์อันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้ผู้ใช้สับสน จนพาลไม่ชอบใช้ไปซะเลย


ยุคสมัยใหม่และบริการแบบต่อเนื่อง Windows 10 – 11 (2015–ปัจจุบัน)



Windows 10 (2015)

“เมื่อ Metro คิดได้”

เมื่อไมโครซอฟท์พัฒนาอะไรใหม่ ๆ ออกมา จะต้องใช้เวลาอีกรุ่นหนึ่งถึงจะเข้าที่เข้าทาง Windows 10 ก็เช่นกัน มันคือ Windows 8 ที่พัฒนาหน้าตาแบบเมโทรจนเหมาะสมสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปสักที ไม่ใช่หน้าตาแบบแท็บเล็ตแต่ต้องใช้เมาส์คลิกแล้วแล้ว นอกจากนี้ยังเปิดตัว Microsoft Edge โปรแกรมท่องเว็บตัวใหม่ที่มาแทน Internet Explorer ที่สู้สงครามเบราว์เซอร์รอบปัจจุบันไม่ไหวแล้ว


Windows 11 (2021)

“การปรับรากฐานอีกครั้ง”

และ Windows 11 ตัวล่าสุดที่เพิ่งออกมาในปีนี้ ดูเผินๆ เหมือนจะไม่ได้ปรับปรุงอะไรมากมายเมื่อเทียบกับ Windows 10 เพราะนอกจากหน้าตาที่ดูดีขึ้น ทุกอย่างในระบบแทบจะใกล้เคียงกันเลย ก็มีการปรับจูนหน้าตาต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น


แต่ Windows 11 ถือเป็นการปรับฐาน ล้างไพ่คอมพิวเตอร์เก่าครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อไมโครซอฟท์พยายามไม่ให้ติดตั้งในคอมพิวเตอร์ที่เก่าเกินไปจนไม่มีเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยหลายอย่าง เช่น TPM, Secure Boot ที่สำคัญคือหน่วยประมวลผลที่เก่า 3-4 ปีหลายรุ่นก็ไม่รองรับ Windows 11 เพิ่มรักษาความปลอดภัยของระบบ


แนวโน้มในอนาคตของระบบปฏิบัติ Windows

อนาคตของระบบปฏิบัติการ Windows กำลังมุ่งสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ชาญฉลาด ยืดหยุ่น และเชื่อมต่อได้จากทุกที่ ด้วยการผสานเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยผู้ใช้ทำงานได้สะดวกขึ้น เช่น Copilot ที่สามารถสรุปข้อมูลหรือสั่งงานด้วยเสียง ขณะเดียวกันก็พัฒนาแนวทางการใช้งานแบบ Cloud ผ่าน Windows 365 ที่ให้ผู้ใช้เข้าถึงระบบจากอุปกรณ์ใดก็ได้โดยไม่ต้องพึ่งฮาร์ดแวร์แรงๆ ยกระดับความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวให้เหมาะกับยุคดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้ Windows ไม่ใช่แค่ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์อีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตในโลกอนาคต


บทความแนะนำเพิ่มเติม

วิธีเลือก IKEv2 บน Windows Client

วิธีปิด IPv6 สำหรับคนที่มีปัญหาต่อ VPN แล้ว IP ไม่เปลี่ยน

วิธีลดค่า Ping เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล

  • Follow Us  

แค่คลิกเดียวก็ทำให้คุณเล่นเกม

อย่างปลอดภัยเลือก VPN4GAMES